วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

โครงสร้างและเนื้อเยื่อพืช

พืชเมื่อแบ่งเซลล์แล้ว เซลล์ที่ได้ใหม่จะมีการรวมกลุ่มกันเป็นเนื้อเยื่อ (tissue) ชนิดต่างๆ เนื้อเยื่อชนิดต่างๆ จะรวมกันเป็นอวัยวะ (organ) และอวัยวะ ก็รวมกัน เป็นระบบ (system) ระบบแต่ละระบบก็ทำหน้าที่เฉพาะลงไป

1 ) ระบบเนื้อเยื่อพืช  จำแนกได้เป็น 3 ระบบดังนี้

1. ระบบเนื้อเยื่อห่อหุ้ม ได้แก่ เนื้อเยื่อที่อยู่ผิวนอกสุดของพืช ทำหน้าที่ปกคลุมส่วนอื่นๆ ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 2 ชนิด คือ

          1.1 เอพิเดอร์มิส (epidermis)
          1.2 เพริเดิร์ม (periderm)

2. ระบบเนื้อเยื่อท่อลำเลียง ทำหน้าที่ลำเลียงน้ำ แร่ธาตุ  และอาหาร ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 2 ชนิด คือ

           2.1 ไซเล็ม (xylem) ทำหน้าที่ลำเลียงน้ำ และแร่ธาตุ
           2.2 โฟลเอ็ม (phloem) ทำหน้าที่ลำเลียงอาหาร

2 ) เนื้อเยื่อเจริญ (meristem) 
ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์ที่มีการเจริญและแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส (mitosis) อยู่ตลอดเวลา จำแนกได้ ดังนี้
1. จำแนกตามตำแหน่งในส่วนต่าง ๆ ของพืช เป็น 3 ชนิด ได้แก่

           1.1 เนื้อเยื่อเจริญส่วนปลาย (apical meristem) เป็นเนื้อเยื่อที่อยู่บริเวณปลายยอด หรือ ปลายรากทำให้รากและลำต้นยืดยาวออก
           1.2 เนื้อเยื่อเจริญเหนือข้อ (intercalary meristem) เป็นเนื้อเยื่อที่บริเวณเหนือข้อ หรือโคน ของปล้องในพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ช่วยให้ปล้องยาวขึ้น หรือตามก้านช่อดอกของพืช บางชนิด เช่น พวกว่านสี่ทิศ ดอกพลับพลึง ซึ่งก้านดอกจะแทงขึ้นมาจากดินโดยตรง
           1.3 เนื้อเยื่อเจริญด้านข้าง (lateral meristem) เป็นเนื้อเยื่อเจริญที่แบ่งตัวออกด้านข้าง ทำให้ลำต้น ราก ขยายขนาดใหญ่ออก ได้แก่ พวกเยื่อเจริญหรือแคมเบียม (cambium) ถ้าเกิดขึ้นในกลุ่มท่อลำเลียง เรียกว่า vascular cambium ถ้าเกิดขึ้นใต้ชั้นเอพิเดอร์มิส เรียกว่า cork cambium

2. จำแนกตามระยะการเจริญ เป็น 3 ชนิด ได้แก่
           2.1 Promeristem เป็นเนื้อเยื่อเจริญที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ จากการแบ่งตัว มีนิวเคลียส ขนาดใหญ่ เซลล์มีขนาดเท่ากัน พบที่บริเวณปลายยอด ปลายราก
           2.2 Primary meristem เป็นเนื้อเยื่อเจริญที่เปลี่ยนแปลงมาจาก promeristem พบตาม บริเวณต่ำกว่าปลายยอดลงมา ในรากพบบริเวณที่เซลล์ยืดตัว
           2.3 Secondary meristem เป็นเนื้อเยื่อเจริญที่พบในพืชที่มีการเจริญขั้นที่สอง เพื่อขยาย ขนาดให้กว้างออก ได้แก่ vascular cambium และ cork cambium 

3 ) เนื้อเยื่อถาวร (permanent tissue) เป็นเนื้อเยื่อที่เจริญเปลี่ยนแปลงมาทำหน้าที่เฉพาะ โดยจะไม่แบ่งตัวอีก จำแนกเป็น 2 ประเภท คือ
1.เนื้อเยื่อถาวรเชิงเดี่ยว (Simple permanent tissues)


            1.1 Parenchyma เป็นเนื้อเยื่อพื้นที่พบมากที่สุดในพืช ตามส่วนต่างๆ โดยเฉพาะส่วน ที่อ่อนนุ่ม เช่น บริเวณคอร์เทก พิธ เนื้อผลไม้ พาเรนไคมาเป็นเซลล์ที่มีชีวิต ขนาดค่อนข้าง ใหญ่ มีรูปร่างหลายแบบ เช่น รูปกลม รี ทรงกระบอก ภายในเซลล์อาจพบหรือไม่พบ นิวเคลียส ผนังเซลล์บางเป็นผนังเซลล์ชั้นแรก (primary wall) มักพบ central vacuoles ขนาดใหญ่ และมี intercellular spaces





               1.2 Collenchyma รูปร่างรี ยาว เซลล์มีผนังหนาไม่สม่ำเสมอ จัดเป็นผนังเซลล์ชั้นแรก เป็นเนื้อเยื่อที่สร้างความแข็งแรงให้กับพืช เมื่อมีการเจริญเติบโตเต็มที่ก็ยังเป็นเนื้อเยื่อ ที่มีชีวิต พบโดยทั่วไปในส่วนของพืช เช่น stems petioles (stalk) laminae roots เมื่อ cross-section ส่วนของลำต้น มักพบ collenchyma อยู่ติดกับ epidermis หรือถูกขั้นด้วย parenchyma 2-5 แถว นอกจากนี้ยังพบบริเวณเส้นใบ ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อลำเลียง พบบริเวณ มุมหรือเหลี่ยมของลำต้น ผนังเซลล์หนาทำหน้าไม่พบ Intercellular air spaces หรือพบน้อยมาก ส่วนประกอบภายในเซลล์อาจพบ nucleus chloroplasts บ้างแต่พบน้อย มาก เนื่องจากมีผนังเซลล์ที่หนา Collenchyma เชื่อว่า Collenchyma มีต้นกำเนิดมาจาก parenchyma จากนั้น differentiate โดยผนังเซลล์จะ เสริมให้มีความแข็งแรงมากขึ้น โดยการสะสมของ cellulose และ pectin



           1.3 Sclerenchyma เมื่อเจริญเต็มที่จะไม่มีชีวิต มีผนังเซลล์ที่หนามาก ลักษณะเด่น ของเซลล์นี้คือ ผนังเซลล์ ขั้นที่สอง (secondary wall) หนา ประกอบด้วย cellulose และ/หรือ lignin โปรโตพลาสต์มักสลายไป หลังจากผนังเซลล์เจริญเต็มที่ เหลือเป็นช่องว่าง ภายในเซลล์ เรียกว่า Lumen Sclerenchyma cells มักพบปะปนกับเซลล์ชนิดอื่นเพื่อ ทำหน้าที่ให้ความแข็งแรงแก่โครงสร้างต่างๆ Sclerenchyma มักพบ ตามลำต้น และในใบพบในส่วนของมัดท่อน้ำท่ออาหาร Sclerenchyma สร้างความแข็งแรงให้กับ เมล็ด โดยเฉพาะส่วนของเปลือกหุ้มเมล็ดจัดเป็นเนื้อเยื่อสำคัญที่สร้างความแข็งแรง ให้กับพืช

** Sclerenchyma สามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด โดยใช้ลักษณะรูปร่างที่แตกต่างกันดังนี้
         1.3 .1 Fibres ลักษณะเซลล์ยาว ปลายเซลล์เรียว ผนังเซลล์หนามาก พบอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม หรือเป็นมัด เช่น ในเนื้อไม้
         1.3.2 Sclereids (Stone cells) ที่เรียกstone เนื่องจากเซลล์มีความแข็งแรงเหมือนหิน มีรูปร่างหลายแบบ


          1.4. Epidermis เป็นเนื้อเยื่อชั้นนอกสุดของส่วนต่างๆ ของพืช ประกอบด้วยเซลล์เรียงตัว เพียงชั้นเดียว มักไม่พบ intercellular spaces รูปร่างแบนยาว ผนังเซลล์บาง โดยส่วนใหญ่ผนังเซลล์ด้านนอกจะหนากว่าด้านใน และพบมีสารคิวตินซึ่งเป็นสารพวกไขมัน เคลือบอยู่ชั้นนอก ยกเว้นในรากจะมี suberin เคลือบ พืชที่ขึ้นอยู่ในที่แห้งแล้งมักมีคิวติน เคลือบหนา เพื่อรักษาน้ำที่อยู่ภายใน โดยทั่วไปอิพิเดอร์มิสไม่มี chloroplast



เนื้อเยื่อถาวรเชิงซ้อน (Complex permanent tissues) คือ เนื้อเยื่อที่ประกอบด้วยเซลล์หลายๆ ชนิดมาทำหน้าที่ร่วมกัน ได้แก่ 

          2.1 Xylem จัดเป็นเนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่หลักในการลำเลียงน้ำ (water-conducting tissue) ใน vascular plants ประกอบด้วย tracheary elements ได้แก่ Vessel member และ Tracheid นอกจากนั้นยังมี xylem fibres และ xylem parenchyma เพื่อทำหน้าที่ในการลำเลียงให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เซลล์ที่ประกอบเป็น xylem มี secondary cell walls ซึ่งมักไม่มี protoplasts ในช่วงที่เซลล์ maturity และมักพบ Bordered pits เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ในการาลำเลียง ส่วน vessels ลำเลียงน้ำผ่าน perforated ผ่านทาง end walls
         2.2 Phloem มาจากภาษกรีก phloios หมายถึง เปลือกไม้ (bark) ทำหน้าที่ลำเลียง สารอินทรีย์ เช่น sucrose ไปยังส่วนต่างๆ ของพืช ทุกส่วนซึ่งแตกต่างจากการลำเลียงน้ำ ที่ลำเลียงจากด้านล่างขึ้นสู่ด้านบน เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ประกอบ sieve element, companion cell, phloem fibres และ phloem parenchyma


ที่มา ข้อมูล+รูปภาพ : http://student.nu.ac.th/46160933/lesson2.htm



โครงสร้างและการเจริญเติบโตของราก 
                 รากเมื่องอกออกจากเมล็ดแล้วจะมีการเติบโตเพิ่มความยาว ขนาด และเพิ่มรากจำนวนมาก



1. บริเวณหมวกราก (root cap) ประกอบด้วยเซลล์พสเรงคิมา (parenchyma) ที่เรียงตัวกันอย่างหลวม ๆ เซลล์เหล่านี้เป็นเซลล์ที่เจริญเต็มที่แล้ว เซลล์ส่วนใหญ่มีรูปร่างค่อนข้างกลมรี หรือ ค่อนข้างยาว ผนังเซลล์บาง มีแวคิวโอลขนาดใหญ่ภายในอาจเห็นเม็ดแป้ง สามารถผลิตเมือกได้ จึงมีเมือกออกมารอบ ๆ หมวกราก ทำให้ดินบริเวณนั้นชุ่มชื้นและอ่อนตัวสะดวกต่อการชอนไชของราก นอกจากนี้หมวกรากยังทำหน้าที่ช่วยป้องกันอันตรายให้กับเนื้อเยื่อเจริญที่อยู่ถัดเข้าไป ขณะที่รากชอนไชลงสู่ดิน
2. บริเวณเซลล์กำลังแบ่งตัว (region of cell divition) เป็นบริเวณที่อยู่ถัดจากบริเวณหมวกรากขึ้นมายาวประมาณ 1-2 มิลลิเมตร เป็นบริเวณที่เซลล์มีการแบ่งตัวแบบไมโทซิส เซลล์ที่ได้จากการแบ่งตัวของเซลล์์ต้นกำเนิดส่วนปลาย (apical intials) ส่วนหนึ่งเจริญไปเป็นหมวกราก แต่ส่วนใหญ่จะเจริญเป็นเซลล์ที่อยู่ในบริเวณถัดขึ้นไปข้างบนซึ่งจะมีการเจริญเป็นส่วนประกอบต่างๆของราก
3. บริเวณเซลล์ขยายตัวตามยาว (region of cell elongation) อยู่ถัดจากบริเวณเซลล์กำลังแบ่งตัวขึ้นไป เซลล์ที่ได้จากการแบ่งเซลล์จะขยายตัวตามยาว ทำให้ความยาวของรากเพิ่มขึ้น
4. บริเวณจะมีการเปลี่ยนแปลงทำหน้าที่เฉพาะ และเจริญเติบโตเต็มที่ ประกอบด้วยเซลล์ที่มีีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเพื่อไปทำหน้าที่ต่างๆต่อไป ทำให้เกิดเซลล์ขึ้นหลายชนิดตามลักษณะส่วนประกอบภายในเพื่อให้เหมาะสมกับการทำหน้าที่เฉพาะ  บริเวณนี้จะมีเซลล์ขนรากอยู่ที่ผิวของรากมีลักษณะเป็นเซลล์สิ่งมีชีวิต ผนังด้านนอกของเซลล์ยื่นห่างออกไปยาวเป็นขนราก  ซึ่งยาวออกไปได้อีกหลายแห่งหลายเท่าของความกว้างเซลล์

องค์ประกอบของเซลล์ใบพืช

choroplasts
คลอโรพลาสต์ ( chloroplaast) เป็นพลาสติด ที่มีสีเขียว พบเฉพาะในเซลล์พืช และสาหร่าย เกือบทุกชนิด พลาสติคมีเยื่อหุ้มสองชั้น ภายในโครงสร้างพลาสติค จะมีเม็ดสี หรือรงควัตถุบรรจุอยู่ ถ้ามีเม็ดสีคลอโรฟิลล์ ( chlorophyll) เรียกว่า คลอโรพลาสต์ ถ้ามีเม็ดสีชนิดอื่นๆ เช่น แคโรทีนอยด์ เรียกว่า โครโมพลาส ถ้าพลาสติคนั้นไม่มีเม็ดสี เรียกว่า ลิวโคพลาสต์ ( leucoplast) ทำหน้าที่ เป็นแหล่งเก็บสะสมโปรตีน หรือเก็บสะสมแป้ง ที่เรียกว่า เม็ดสี ( starch grains) เรียกว่า amyloplast
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสารคลอโรฟิลล์ ภายในคลอโรพลาสต ์ประกอบด้วย
ส่วนที่เป็นของเหลว เรียกว่า สโตรมา ( stroma) มีเอนไซม์ที่เกี่ยวข้อง กับการสังเคราะห์ด้วยแสง แบบที่ไม่ต้องใช้แสง ( dark reaction) มี DNA RNA และไรโบโซม และเอนไซม์อีกหลายชนิด ปะปนกันอยู่
ในของเหลวเป็นเยื่อลักษณะคล้ายเหรียญ ที่เรียงซ้อนกันอยู่ เรียกว่า กรานา (grana) ระหว่างกรานา จะมีเยื่อเมมเบรน เชื่อมให้กรานาติดต่อถึงกัน เรียกว่า อิกเตอร์กรานา ( intergrana) หน่วยย่อย ซึ่งเปรียบเสมือน เหรียญแต่ละอัน เรียกเหรียญแต่ละอันว่า กรานาลาเมลลา ( grana lamella) หรือ กรานาไทลาคอยด์ ( grana thylakoid) ไทลาคอยด์ในตั้งเดียวกัน ส่วนที่เชื่อมติดกัน เรียกว่า สโตรมา ไทลาคอยด์ (stroma thylakoid) ไม่มีทางติดต่อกันได้ แต่อาจติดกับไทลาคอยด์ในตั้งอื่น หรือกรานาอื่นได้
ทั้งกรานา และอินเตอร์กรานา เป็นที่อยู่ของคลอโรฟิลล์ รงควัตถุอื่นๆ และพวกเอนไซม์ ที่เกี่ยวข้อง กับการสังเคราะห์ด้วยแสง แบบที่ต้องใช้แสง ( light reaction) บรรจุอยู่ หน้าที่สำคัญ ของคลอโรพลาส คือ การสังเคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis) โดยแสงสีแดง และแสงสีน้ำเงิน เหมาะสม ต่อการสังเคราะห์ ด้วยแสงมากที่สุด

ภาพเซลล์จากการ Cross section ต้นคะน้า


รากต้นคะน้า




ลำต้นคะน้า




ใบต้นตะน้า



Upper



Lower




ต้นคะน้า...♥♥